วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Cream / Lotion / Gel / Serum / Essence ต่างกันยังไงบ้าง??



Cream / Lotion / Gel / Serum / Essence
ครีม / โลชั่น / เจล / เซรั่ม / เอสเซ้นส์

ต่างกันยังไงบ้าง??

** วิวจะขอแยกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นนะคะ **

กลุ่ม 1. Cream / Lotion
กลุ่ม 2. Gel
กลุ่ม 3. Serum / Essence


มาดูกลุ่มแรกกันค่ะ... 

กลุ่ม 1. Cream / Lotion

ครีม / โลชั่น เป็นคำที่ทุกคนคุ้นเคยกันอยู่แล้วแน่นอนค่ะ สำหรับทางเครื่องสำอาง จะเรียกกลุ่มนี้ว่า อิมัลชั่น (Emulsion) ขออธิบายคำจำกัดความของ อิมัลชั่น นิดนึงนะคะ

** Emulsion หมายถึง ผลิตภัณฑ์รูปแบบหนึ่งที่ประกอบด้วยของเหลวอย่างน้อย 2 ชนิด ซึ่งไม่เข้ากัน นำมาผสมผสานกัน โดยมีตัวช่วยที่เรียกว่า สารก่ออิมัลชั่น (Emulsifier) เพื่อทำให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เนื้อที่เข้ากันนี้หากขยายดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นเป็น 2 ส่วน คือ มีหยดเล็กๆ กระจายตัวแทรกอยู่ในของเหลวอีกส่วนหนึ่ง


จากรูป 
ครีม / โลชั่น มีหลักการ คือ ผสมส่วนน้ำมัน (Oil) และน้ำ (Water) ซึ่งปกติน้ำมันกับน้ำจะไม่เข้ากัน ทำให้แยกชั้นกันอย่างชัดเจน แต่เมื่อมีสารก่ออิมัลชั่น (Emulsifier) โดยใช้แรงในการคนผสมร่วมกับเทคนิคทางเครื่องสำอาง ก็จะทำให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เป็นเนื้อครีมหรือเนื้อโลชั่นออกมาค่ะ

** โดยสัดส่วนของ Oil และ Water ต่างกันก็จะให้เนื้อครีมหรือเนื้อโลชั่นที่มีรูปแบบต่างกัน คือ

-    ส่วนของน้ำมันปริมาณน้อยกว่าน้ำ จะเรียกว่า O/W (Oil in Water) Emulsion ซึ่งภายนอกจะเป็นน้ำ ทาแล้วกระจายตัวดี เช่น ครีมทาหน้า โลชั่นทาผิว ทาแล้วไม่เหนอะหนะ ทำให้อิมัลชั่นชนิดนี้นิยมในทางเครื่องสำอางค่ะ

-    ส่วนของน้ำปริมาณน้อยกว่าน้ำมัน จะเรียกว่า W/O (Water in Oil) Emulsion ภายนอกจะเป็นน้ำมัน จะมีความชุ่มชื้นมาก มีความเหนอะหนะ จึงนิยมในกลุ่ม ครีมทากลางคืน (Night Cream) หรือ ครีมนวดหน้า นวดตัว (Massage Cream) เป็นต้น

** ทั้งครีมและโลชั่น สามารถเป็นได้ทั้ง O/W และ W/O นะคะ 

แล้วสรุปความแตกต่างของครีมและโลชั่น คืออะไร??
ตอบ ความหนืดค่ะ

-    ครีมจะมีความเข้มข้นหรือความหนืดมากกว่าโลชั่น เนื้อครีมจะหนักกว่า และซึมเข้าผิวยากกว่าโลชั่น เพราะฉะนั้น เนื้อครีมจะเหมาะกับคนที่ผิวแห้งหรือผิวธรรมดา เพราะต้องการให้ความชุ่มชื้นที่ผิวคงอยู่ เพราะมีการปกคลุมด้วยเนื้อครีมเคลือบอยู่ที่ผิว ป้องกันน้ำในผิวระเหยออกไปค่ะ

-    โลชั่นจะมีความเข้มข้นหรือความหนืดน้อยกว่า เนื้อโลชั่นจะเบากว่า ซึมเข้าผิวง่ายกว่า ทาแล้วสบายตัว ไม่เหนอะหนะที่ผิวค่ะ จึงนิยมเป็นอิมัลชั่นประเภท O/W นะคะ


กลุ่ม 2. Gel

เจล เป็นสารประเภทโพลิเมอร์ (Polymer) ค่ะ ซึ่งโพลิเมอร์ คือสารที่มีโครงสร้างโมเลกุลเป็นสายโซ่ยาว มีโครงสร้างกักเก็บและอุ้มน้ำไว้ได้เยอะ 


โดยในทางเครื่องสำอางก็จะมีการใช้สารก่อเจลชนิดต่างๆให้เหมาะกับประเภทและคุณสมบัติของเครื่องสำอางนั้นๆ มีทั้งแบบความหนืดมากและความหนืดน้อย 

ยกตัวอย่างเช่น Hair Gel จะมีความหนืดมากเพื่อการใช้เซ็ททรงผม ส่วน Eye Gel ก็จะมีความหนืดลดลงมา สำหรับการทารอบดวงตาแล้วมีความลื่นไปกับผิวรอบดวงตา ทาแล้วซึมไปที่ผิวได้ดีรวมทั้งทิ้งความชุ่มชื้นไว้ด้วย


กลุ่ม 3. Serum / Essence

-    Serum (เซรั่มหรือซีรั่ม)
เซรั่มในทางเครื่องสำอาง คือผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของสารสำคัญ (Active Ingredients) สูงๆ โดยมีเนื้อที่เบาและซึมเร็ว สังเกตได้จากเวลาทาที่ผิว เนื้อเซรั่มจะซึมเข้าไปที่ผิวไม่เกิน 1-2 นาที ทำให้ผิวได้รับสารสำคัญได้เข้มข้นและมีประสิทธิภาพ จึงเห็นผลไวกว่ากลุ่มครีมทั่วไป



-    Essence (เอสเซ้นส์)
ความหมายของเอสเซ้นส์ก็คือเซรั่มนั่นเอง แต่เรียกในทางการตลาดให้ต่างกัน มีความเข้มข้นของสารสำคัญ (Active Ingredients) สูงๆ เหมือนเซรั่ม เพียงแต่ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำอยู่มาก ทำให้มีความบางเบา ความหนืดน้อยมากๆ แทบจะเป็นน้ำเลยทีเดียว ทำให้ไหลตัวดี เกลี่ยง่ายที่ผิวค่ะ


สรุปแล้วในทางเครื่องสำอางก็จะมีคำเรียกของประเภทผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไปนะคะ 

ขึ้นอยู่กับการใช้งาน คุณสมบัติที่ให้กับผิวค่ะ ส่วนในโครงสร้างเชิงลึกของสารที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามสัดส่วนของส่วนผสม 

ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ก็ต้องดูสภาพผิวของเราก่อนนะคะ ว่าควรใช้ผลิตภัณฑ์แนวไหน ที่สำคัญต้องทดสอบการแพ้ด้วยค่ะ เพื่อความปลอดภัย และสวยอย่างยั่งยืนนะคะ











                                                                                                                      
      View "Cosmetics Scientist" 

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เครื่องสำอาง & เวชสำอาง


มาทำความเข้าใจกับคำว่า เครื่องสำอาง (Cosmetics) และ เวชสำอาง (Cosmeceuticals) กันค่ะ


อย่างที่เคยเขียนไปในบทความที่แล้วนะคะ ว่าวิวเรียนจบด้าน Cosmetics โดยตรง จำได้เลยว่าเข้าไปในช่วงแรกของการเรียนนั้น มีบทนำเกี่ยวกับความหมายของเครื่องสำอาง และที่สำคัญ อาจารย์สอนว่า การเขียนคำว่า เครื่องสำอาง จะไม่มี ค์ นะคะ (ไม่ใช่เครื่องสำอางค์ แบบนี้เขียนผิดค่ะ) ก็เลยจำตั้งแต่นั้นมาว่า “เครื่องสำอาง” เขียนแบบนี้ ก็เลยอยากจะเขียนตรงนี้ลงบล็อกด้วย เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ทราบ จะได้เขียนและใช้คำได้ถูกต้องค่ะ


มาดูความหมายของ “เครื่องสำอาง” “Cosmetics” ตาม พรบ.เครื่องสำอาง ปี 2535 กันค่ะ



จากความหมายใน พรบ. เราใช้เครื่องสำอาง ***เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิว เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิว ก็จะมีคุณสมบัติเป็น “ยา” แต่ในเทรนปัจจุบันนี้ มีการผสมผสานระหว่างเครื่องสำอางและยาเข้าด้วยกัน จึงเกิดศัพท์ที่เรียกเป็น “เวชสำอาง (Cosmeceuticals)” ขึ้น


***คำว่า “เวชสำอาง” (เวชสำอาง ก็ไม่มี ค์ นะคะ) คำนี้ไม่มีบัญญัติไว้ใน พรบ.เครื่องสำอางนะคะ แต่ใช้กันเยอะมากในปัจจุบันนี้ เพราะเวชสำอาง มีความหมายว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีสารออกฤทธิ์ โดยให้ผลในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิว เช่นให้ผลทางด้าน Whitening, Antioxidant, Anti-Aging เป็นต้น


ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันนี้ เน้นให้ผลออกฤทธิ์เร็ว จึงเรียกได้ว่าเป็นเวชสำอางทั้งนั้น แต่เราควรดูในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยด้วยนะคะ 

เนื่องจากผิวของเราจะมีกระบวนการผลัดเซลล์ตามธรรมชาติ ซึ่งวงจรปกติ 28 วัน ในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา การใช้ผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ออกฤทธิ์นั้น จึงเป็นตัวช่วย เสริมให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น แต่ถ้าเร็วเกินไป ผิวจะไม่สมดุล และในอนาคตผิวจะอ่อนแอ และเป็นอันตรายได้ค่ะ



เพราะฉะนั้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีความน่าเชื่อถือ และเห็นผลจริงอย่างปลอดภัยนะคะ



วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

STARTUP แบรนด์เครื่องสำอาง


"เรียนอะไรดี" คำถามของเด็กจบ ม.6


วิวเรียนสายวิทย์มา จะแพทย์ ทันตะ เภสัช คะแนนก็ไม่ถึง แล้วจะเรียนอะไรดี นั่งเปิดใบคะแนนแอดมิชชั่นคณะต่างๆของปีที่แล้ว (เป็นเด็กแอดมิชชั่นรุ่นที่ 2 ปี 2550) เปิดมาเจอ อุ้ย!!! คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ของมหาวิทยาลัยนเรศวร น่าเรียนจัง...


ด้วยความชอบความสวยความงาม การดูแลตัวเอง มีความหลงใหล (Passion) ในด้านนี้ วันที่เลือกคณะเพื่อแอดมิชชั่น จึงเลือกเรียนเครื่องสำอางอันดับ1 แล้ววันประกาศผลก็ลุ้นผลทางโทรศัพท์ที่บ้าน ลุ้นๆ... ในที่สุดก็ติดค๊า!!! ดีใจมากๆ ^ ^


สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง อยู่ในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถือว่าเป็นคณะน้องใหม่ เพราะเราเรียนเป็นรุ่นที่ 3 จำนวนคนในสาขาก็มีประมาณ 30-40 คนต่อรุ่น


การเรียนในมหาลัย 4 ปี ผ่านไปด้วยดี หลักๆจะเรียนรู้เรื่องเครื่องสำอาง การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การควบคุมคุณภาพ มาตรฐานของโรงงานผลิต GMP, ISO, Halal รวมไปถึงการตลาดเบื้องต้น และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยในขณะที่เรียนก็เข้าใจระดับนึง แต่เราอาจจะยังไม่เข้าใจจริง ต้องออกไปทำงานถึงจะรู้ว่าสิ่งที่เรียนมาต้องนำไปใช้ประโยชน์ยังไงบ้าง


และแล้วก็เรียนจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 แต่ก็ยังไม่ค้นพบตัวเองว่า จริงๆแล้วจบไปอยากจะทำสายงานไหนทางเครื่องสำอางดี? แต่จำได้ว่าเคยบอกเพื่อนว่า จะเก็บตังเปิดร้านเสริมสวยซะเลย ขายเครื่องสำอางไปด้วย เพราะอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง แต่ด้วยทุนน้อย ก็ต้องเริ่มต้นด้วยงานประจำเพราะต้องหาประสบการณ์ พอมาอยู่ในโลกของการทำงาน คำว่าจบเกียรตินิยมเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น การพัฒนาตนเอง การปรับตัว การทำงานสำคัญมากกว่า


เริ่มต้นงานแรก...
งานแรกของวิวคือตำแหน่ง นักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) อยู่บริษัทผู้ผลิตที่ต่างจังหวัด เน้นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ แนวออร์แกนิค โดยมีผลิตภัณฑ์เป็นแบรนด์ของตัวเองและรับจ้างผลิต เป็น R&D ฝ่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มชำระล้าง เช่น แชมพู ครีมนวด สบู่ก้อน สบู่เหลว ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจะมีการควบคุมคุณภาพเรื่องสี กลิ่นยาก เนื่องจากสีธรรมชาติไม่คงทน และต้องระวังเรื่องเชื้อราเป็นอย่างดี ในกระบวนการทางเครื่องสำอาง ก็จะมีการฉายรังสีฆ่าเชื้อก่อน จึงจะนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์


ในส่วนการทำงาน นอกจากงาน R&D แล้ว จะมีการเข้าไปดูการผลิตในโรงงาน และการทำมาตรฐานโรงงานอย่าง GMP (Good Manufacturing Practice) ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก คนทำงานที่เป็นกันเอง ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก เพราะเนื่องจากเป็นบริษัทที่มีคนไม่เยอะมาก จึงได้ทำงานใกล้ชิดผู้บริหาร ทำให้ได้คำสอน หลักการทำงานของท่าน รวมทั้งได้ศึกษาธรรมะไปด้วย


ก้าวสู่การทำงานที่สอง...
งานที่สอง วิวย้ายไปทำงานที่จังหวัดบ้านเกิดตัวเอง พักอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่แล้วไปทำงานบริษัทต่างอำเภอ ในตำแหน่งนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) เครื่องสำอางเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ได้เริ่มต้นตั้งแต่แรก เนื่องจากเดิมบริษัททำเกี่ยวกับสมุนไพร อาหารเสริม แต่เพิ่งจะเริ่มทำเครื่องสำอางในแบรนด์ของตัวเองและรับจ้างผลิตด้วย เราจึงได้ทำงานที่หลากหลายมากขึ้น และได้ดูการผลิตในโรงงานด้วย ผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานเป็นกันเอง อยู่แบบอบอุ่นแบบพี่แบบน้อง


แล้วก็ถึงจุดพลิกผัน!!! เพราะในช่วงภาวะเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ลดลง จึงเกิดความคิดว่าเราต้องหาอาชีพเสริม เริ่มต้นด้วยการขายเสื้อผ้ามือสอง ขายทางออนไลน์ ขายตามตลาดนัด และโพสต์ในอินเตอร์เน็ตว่ารับจ้างผลิตเครื่องสำอาง รวมทั้งทำแบรนด์ตัวเองเล็กๆขึ้น ตอนนั้นทำแชมพู สบู่เหลว สั่งมาเป็นกิโล แล้วนั่งบรรจุใส่ขวดเล็กๆเอง ติดสติกเกอร์เอง จำได้ว่าไม่ได้นอนทั้งคืน (- -') แล้วนำไปเสนอให้กับรีสอร์ต โรงแรม แต่ขายได้ครั้งเดียว ที่เดียวเท่านั้น!!! เพราะเราสู้เรื่องราคาไม่ได้ เพราะโรงแรม รีสอร์ตต้องการราคาต่ำ เป็นเพราะเราไม่ได้ศึกษาตลาดมากพอ ไม่ได้ลุยต่อ ก็เลยหยุดไปก่อน

จากนั้นจึงเริ่มรู้สึกว่า โอกาสยังน้อยไป ลองไปหางานใหม่ โอกาสใหม่ๆที่กรุงเทพฯ ก็แล้วกัน!!!


งานที่สาม...
เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ งานนี้ถือว่าเป็นงานที่ได้ประสบการณ์มากๆ แม้จะทำแค่สั้นๆ เป็นงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) โดยไม่ต้องทำแลบแบบที่ผ่านมา การพัฒนามีทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ในคลินิก รวมทั้งได้ศึกษาเครื่องมือในด้านการทำทรีทเมนท์หน้า ทำสปาต่างๆ ซึ่งในด้านการทำงานจะต้องเป๊ะ ช้าไม่ได้ งานต้องไวและชัดเจน ผู้บริหารสอนให้รู้จักการทำงานของจริง ให้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศ ซึ่งเป็นงาน Cosmoprof Asia 2014 ที่ผ่านมา เป็นงานแสดงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางระดับเอเชีย ทำให้เราได้รับความรู้อัพเดตใหม่ๆ ได้เห็นผลิตภัณฑ์มากมาย และพูดคุยกับชาวต่างชาติแลกเปลี่ยนความรู้กัน ^ ^






หลังจากนั้น มีงานด้านที่ปรึกษา (Consult) เข้ามาเรื่อยๆ ผลจากที่เราเคยไปโพสต์ Content ไว้ในอินเตอร์เน็ต ทำให้คนติดต่อมาทางอีเมล์ และไลน์ เพื่อให้เราช่วยสร้างแบรนด์ จังหวะนั้นก็ได้ลาออกจากงาน เพื่อลองทำตรงนี้อย่างจริงจัง โชคดีที่ตอนนั้นแต่งงานแล้ว จึงมีแฟนเป็นเพื่อนคู่คิดและสู้ไปด้วยกัน เรามีการนัดพบลูกค้า คุยโปรเจคกัน เราเป็นผู้ประสานงาน ให้แฟนออกแบบโลโก้ ออกแบบฉลาก เราติดต่อให้ทุกอย่างจนแบรนด์พร้อมขายสู่ตลาด เราช่วยกันทำงานในช่วงตอนเย็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ก็นัดพบลูกค้า ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เป็นงานที่สนุกและต้องใช้ทักษะในการแก้ปัญหามากทีเดียว รายได้ก็พอไปได้ ไม่ได้มากมาย ไม่แน่นอน เพราะงานจะไม่ได้มีรายได้ตลอดแบบงานประจำ แต่ก็มีความสุขที่ได้ให้ความรู้เรื่องการสร้างแบรนด์และได้รู้จักคนมากขึ้น แต่จากนั้นก็มีบริษัทเครื่องสำอางซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ติดต่อมา จึงลองดูกับงานประจำอีกครั้ง


งานที่สี่...
งานครั้งนี้เป็นงานด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องทำแลบเช่นเดียวกัน เป็นงานเกี่ยวกับวัตถุดิบโดยเฉพาะ หาวัตถุดิบทางเครื่องสำอางใหม่ๆตามที่ลูกค้าต้องการ หรือเสนอให้ลูกค้า โดยต้องประสานงานกับหลายฝ่ายเนื่องจากเป็นบริษัทใหญ่ ได้ติดต่อผู้ขายสารสำคัญ สารพื้นฐานต่างๆทางเครื่องสำอางมากมาย ได้พบปะ Supplier จากต่างประเทศ ได้รู้จักเทรนด์ใหม่ๆทางเครื่องสำอาง ได้รู้จักเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในที่ทำงาน และบริษัทอื่นๆหลายฝ่าย งานสนุก ในระหว่างการทำงาน ช่วงวันหยุดเราก็นัดเจอลูกค้าในเรื่องของงาน Consult เรื่อยๆ จนวันนึงได้รู้ว่า Connection สำคัญมากจริงๆ ...


แฟนวิวจบปริญญาโทพร้อมรุ่นพี่ที่เก่งมากคนนึง และรุ่นพี่กับแฟนก็สนใจในเรื่องเครื่องสำอางและการทำตลาดออนไลน์พอดี เพราะระหว่างการทำงานด้าน Consult ได้โพสต์ใน Social ว่ารับเป็น Consult อยู่เสมอ จึงได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันกันหลายครั้ง และรุ่นพี่ทั้งสองก็ให้โอกาสเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำในการทำธุรกิจ และจากนั้นจึงได้ตัดสินใจทำแบรนด์ร่วมกันขึ้น


การเริ่มต้นนั้นค่อยๆเป็นค่อยๆไป เราศึกษาตลาดร่วมกัน คุยในทางธุรกิจกันตลอดว่าจะทำผลิตภัณฑ์ตัวไหนบ้าง โดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคนในทุกๆด้าน คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดในการทำผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ออกมา ผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพ ปลอดภัย และเห็นผลจริง ในช่วงที่พัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่นั้น เป็นช่วงที่ด้านงานประจำก็เยอะมากขึ้น ทำให้สุขภาพไม่ดี วิวจึงตัดสินใจออกมาทำแบรนด์ตัวเองและงาน Consult เต็มตัวเลย ลองทำเพื่อตัวเอง โดยไม่ต้องมีรายได้ประจำดีกว่า เพราะนี่คือโอกาสที่เราจะได้พัฒนาตัวเองให้เป็นเจ้าของกิจการตามที่เคยฝันไว้ และที่สำคัญ!!! เป็นงานที่เรารัก


สร้างแบรนด์อย่างมีเป้าหมาย...

จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทดลองใช้จนแน่ใจว่าปลอดภัย และเห็นผลจริง วันนี้เรามีผลิตภัณฑ์ออกขายสู่ตลาดแล้ว โดยคอนเซ็ปคือ เป็นผลิตภัณฑ์โดยนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง (Products by Cosmetics Scientist) เพราะต้องการให้ทุกคนได้ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้สารสำคัญที่มีคุณภาพ ปลอดภัย เห็นผลจริง และเป้าหมายของแบรนด์เราคือ ความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ ผู้ที่ได้ลองใช้มีการซื้อซ้ำ บอกต่อ มีทีมตัวแทนจำหน่าย เนื่องจากเราอยากให้ทุกคนมีรายได้เสริม เพราะการสร้างรายได้หลายช่องทางเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าอนาคตงานประจำจะเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือการส่งออกต่างประเทศ ที่ผ่านมาเราได้มีการลองส่งสินค้าไปขายที่ประเทศดูไบมาแล้ว ซึ่งให้ผลตอบรับค่อนข้างดี และโอกาสหน้าเราก็จะส่งไปอีกครั้ง และขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้คนได้รู้จักผลิตภัณฑ์คุณภาพดีของเรามากขึ้นค่ะ :)




"Celine By Mariya" 
"ซีลีน บาย มาริยา"


ขอบคุณตัวเองที่มี Passion เริ่มต้นในด้านนี้ ขอบคุณที่ได้เจอคนดีๆ ได้เจอโอกาส ขอบคุณครอบครัวและคนรอบข้างที่สนับสนุน เมื่อเรามีเป้าหมายและลงมือทำ ทุ่มเท จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ โดยไม่ยอมแพ้ ต้องสำเร็จแน่นอน นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น... เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ  




View 
"Cosmetics Scientist"